พระวินัย ๒๒๗

พระวินัย

“โย โว อานนฺท ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา

ดูกรอานนท์ ธรรมวินัยที่เราแสดงบัญญัติไว้แก่พวกเธอ

นั่นแหละ จะเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลายเมื่อเราสิ้นไป

“โย โว อานนฺท ธมฺโม จ วินโย

จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา

ดูกรอานนท์ ธรรมวินัยที่เราแสดงบัญญัติไว้แก่พวกเธอ นั่นแหละ จะเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลายเมื่อเราสิ้นไป

     พระวินัย หรือ ศีลของพระ เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้เพื่อเป็นข้อห้ามสำหรับพระภิกษุไม่ให้ประพฤติหรือกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่จะทำให้มีความเสื่อมเสียหรือเสียหายเกิดขึ้น ซึ่งเป็นระบบแบบแผนต่างๆ ที่กำหนดความประพฤติ ความเป็นอยู่ และกิจการของสงฆ์ทั้งหมด เป็นสิ่งที่ครอบคลุมชีวิตด้านนอกของภิกษุสงฆ์ทุกแง่ทุกมุม

     พระวินัย ประกอบด้วยสิกขาบทต่างๆ มากมาย มีทั้งข้อกำหนด เกี่ยวกับความเป็นอยู่ส่วนตัว ความสัมพันธ์ระหว่างพระภิกษุด้วยกัน ความสัมพันธ์กับคฤหัสถ์ทั้งหลาย ตลอดจนการปฏิบัติต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ระเบียบว่าด้วยการปกครอง และการดำเนินกิจการต่างๆของสงฆ์ ระเบียบเกี่ยวกับการแสวงหา การจัดทำ เก็บรักษา แบ่งสันปันส่วนปัจจัย ๔

 

เหตุผลที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบท

ประกอบไปด้วย ๑๐ ประการ ได้แก่

๑.เพื่อความเรียบร้อยดีงามแห่งสงฆ์

๒.เพื่อความผาสุกแห่งสงฆ์

๓.เพื่อกำราบคนหน้าด้านไม่รู้จักอาย

๔.เพื่อความอยู่ผาสุกแห่งเหล่าภิกษุผู้มีศีลดีงาม

๕.เพื่อปิดกั้นความเสื่อมเสีย ความทุกข์ ความเดือดร้อน ที่จะมีในปัจจุบัน

๖.เพื่อบำบัดความเสื่อมเสีย ความทุกข์ ความเดือดร้อน ที่จะมีในภายหลัง

๗.เพื่อความเลื่อมใสของคนที่ยังไม่เลื่อมใส

๘.เพื่อความเลื่อมใสยิ่งขึ้นของคนที่เลื่อมใสแล้ว

๙.เพื่อความดำรงมั่นแห่งสัทธรรม

๑๐.เพื่อส่งเสริมความเป็นระเบียบเรียบร้อย สนับสนุนวินัยให้หนักแน่น

    พระวินัยจึงมีอานิสงส์ทั้งในแง่ของการปฏิบัติธรรมส่วนตัวของพระและในแง่ส่วนรวมของสงฆ์

ศีล ๑๐ ข้อ สำหรับสามเณร

สามเณรต้องถือศีล ๑๐ ข้อ อันได้แก่

๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์ทั้งมนุษย์และเดรัจฉาน

๒. เว้นจากการลักทรัพย์

๓. เว้นจากการเสพเมถุน

๔. เว้นจากการพูดเท็จ

๕. เว้นจากการดื่มสุราและเมรัย

๖. เว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล (หลังเที่ยงวันไปแล้ว)

๗. เว้นจากการฟ้อนรำขับร้องและการบรรเลง ตลอดถึงการดูการฟังสิ่งเหล่านั้น

๘. เว้นจากการทัดทรงตกแต่งประดับร่างกาย การใช้ดอกไม้ ของหอม เครื่องประเทืองผิวต่างๆ

๙. เว้นจากการนอนที่นอนสูงใหญ่และยัดนุ่นสำลีอันมีลายวิจิตร (เว้นจากการนั่งนอนเหนือเตียงตั่งที่มีเท้าสูงเกินประมาณ)

๑๐. เว้นจากการรับเงินทอง

ศีล ๒๒๗ ข้อ

     พระวินัย ศีล ๒๒๗ ข้อ สามารถแบ่งตามหมวดหมู่ ได้ดังนี้ (ลำดับจากโทษของการละเมิด แรงสุดไปหาเบาสุด)

ปาราชิก มี ๔ ข้อ ความผิดรุนแรงที่สุด ผิดแล้วขาดจากความเป็นพระทันที

สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ ความผิดหนัก มีความยุ่งยากในการปลงอาบัติ

อนิยต มี ๒ ข้อ ว่าด้วยอาบัติที่ไม่แน่ว่าจะปรับข้อไหน

นิสสัคคิยปาจิตตีย์ มี ๓๐ ข้อ ว่าด้วยอาบัติที่ต้องสละสิ่งของออกก่อนถึงจะปลงอาบัติได้ เรื่องจีวร ไหม บาตร

ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อ ว่าด้วยอาบัติที่ไม่ต้องสละสิ่งของ

ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อ ว่าด้วยอาบัติที่พึงแสดงคืน
เสขิยะ มี ๘๒ ข้อ ว่าด้วยอาบัติเรื่องมารยาท เสขิยะแบ่งเป็น
– สารูป มี ๒๖ ข้อ (ความเหมาะสมในการเป็นสมณะ)

– โภชนปฏิสังยุตต์ มี ๓๐ ข้อ (ว่าด้วยการฉันอาหาร)

– ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ มี ๑๖ ข้อ (ว่าด้วยการแสดงธรรม)

– ปกิณสถะ มี ๓ ข้อ (เบ็ดเตล็ด)

– อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อ (ธรรมสาหรับระงับอธิกรณ์)

     รวมทั้งหมดแล้ว ๒๒๗ ข้อ ผิดข้อใดข้อหนึ่งถือว่าต้องอาบัติ การปลงอาบัติ สามารถแสดงอาบัติโดยกล่าวกับพระภิกษุรูปอื่นเพื่อเป็นการแสดงตนต่อความผิด แต่ถ้าถึงขั้นปาราชิกก็ต้องสึกอย่างเดียว ส่วนสังฆาทิเสสต้องอยู่กรรม 

อาบัติ

     อาบัติ หมายถึง การล่วงละเมิดศีล หรือ ทำผิดศีล เมื่ออาบัติ จะมีโทษแห่งการอาบัติอยู่ ๓ ระดับ ได้แก่
โทษอย่างหนัก คือ แก้ไม่ได้ ขาดจากการเป็นพระทันที (หมวดปราชิก)
โทษอย่างกลาง คือ แก้ได้ โดยต้องอยู่ปริวาสกรรมและประพฤติมานัต ๖ ราตรี (หมวดสังฆาทิเสส)
โทษอย่างเบา คือ แก้ได้ โดยประจานความผิดของตน บอกกับต่อภิกษุด้วยกัน เรียกว่าการแสดงอาบัติ (หมวดที่เหลือ)

ปราชิก ๔ ข้อ

๑. เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉานตัวเมีย (ร่วมสังวาสกับคนหรือสัตว์)
๒. ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย) ตั้งแต่ ๕ มาสก (๑ บาท)
๓. พรากกายมนุษย์จากชีวิต หรือแสวงหาศาสตราอันจะนำไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์ (ฆ่าคน)
๔. กล่าวอวดอุตตริมนุสสธัมม์ อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถได้ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ มรรค และผล น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)

   ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ หากกระทำอาบัติ ๑ ใน ๔ ข้อนี้ ถือเป็นอาบัติหนัก ถือว่าขาดจากความเป็นพระทันที! ดังนั้นข้อที่ถือว่าสุ่มเสี่ยงจะอาบัติได้ง่ายที่สุด คือ ข้อที่ ๔ พลั้งพูดอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตนแล้ว ย่อมถึงขึ้นประหารเพศพระของตน

ปราชิก

สังฆาทิเสส ๑๓ ข้อ

๑. ปล่อยน้ำอสุจิด้วยความจงใจ เว้นไว้แต่ฝัน

๒. เคล้าคลึง จับมือ จับช้องผม ลูบคลำ จับต้องอวัยวะอันใดก็ตามของสตรีเพศ

๓. พูดจาหยาบคาย เกาะแกะสตรีเพศ เกี้ยวพาราสี

๔. การกล่าวถึงคุณในการบำเรอตนด้วยกาม หรือถอยคำพาดพิงเมถุน

๕. ทำตัวเป็นสื่อรัก บอกความต้องการของอีกฝ่ายให้กับหญิงหรือชาย แม้สามีกับภรรยา หรือแม้แต่หญิงขายบริการ

๖. สร้างกุฏิด้วยการขอ

๗. สร้างวิหารใหญ่ โดยสงฆ์มิได้กำหนดที่รุกรานคนอื่น

๘. แกล้งใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล

๙. แกล้งสมมุติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล

๑๐. ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน (สังฆเภท)

๑๑. เป็นพวกของผู้ที่ทำสงฆ์ให้แตกกัน และต้องโดนเตือนถึง ๓ ครั้ง

๑๒. เป็นผู้ว่ายากสอนยาก และต้องโดนเตือนถึง ๓ ครั้ง

๑๓. ทำตัวเป็นเหมือนคนรับใช้ ประจบคฤหัสถ์ และต้องโดนเตือนถึง ๓ ครั้ง

     อาบัติสังฆาทิเสส ไม่สามารถปลงอาบัติได้โดยวิธีปกติ ถ้าอาบัติแล้วเปิดเผยต่อภิกษุอื่น ก็ไม่ต้องอยู่ปริวาสกรรม เพียงแค่ประพฤติวัตรที่เรียกว่า มานัต ๖ ราตรี แล้วขอสงฆ์ ๒๐ รูป สวดอัพภาน จึงเป็นอันพ้นอาบัติ แต่ถ้าปกปิดเอาไว้ นับวันได้กี่วัน ก็ต้องอยู่ปริวาสกรรมเท่าจำนวนวันที่ปกปิดนั้น จากนั้นจึงอยู่มานัต ๖ ราตรี แล้วขอสงฆ์ ๒๐ รูป สวดอัพภาน จึงพ้นอาบัติได้

อนิยตกัณฑ์ ๒ ข้อ

๑. การนั่งในที่ลับตา มีอาสนะกำบังอยู่กับสตรีเพศ และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วย ธรรม ๓ ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ ปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว

๒. ในสถานที่ที่ไม่เป็นที่ลับตาเสียทีเดียว แต่เป็นที่ที่จะพูดจาค่อนแคะสตรีเพศได้สองต่อสองกับภิกษุผู้เดียว และมีผู้มาเห็นเป็นผู้ที่เชื่อถือได้พูดขึ้นด้วยธรรม ๒ ประการอันใดอันหนึ่งกล่าวแก่ภิกษุนั้นได้แก่ สังฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตีย์ก็ดี ภิกษุนั้นถือว่ามีความผิดตามที่อุบาสกผู้นั้นกล่าว

นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ข้อ

๑. เก็บจีวรที่เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน

๒. อยู่โดยปราศจากไตรจีวรแม้แต่คืนเดียว

๓. เก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกินกำหนด ๑ เดือน

๔. ใช้ให้ภิกษุณีซักผ้า

๕.รับจีวรจากมือของภิกษุณี

๖. ขอจีวรจากคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ เว้นแต่จีวรหายหรือถูกขโมย

๗. รับจีวรเกินกว่าที่ใช้นุ่ง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป

๘. พูดทำนองขอจีวรดีๆ กว่าที่เขากำหนดจะถวายไว้แต่เดิม

๙. พูดให้เขารวมกันซื้อจีวรดีๆ มาถวาย

๑๐. ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกว่า ๓ ครั้ง

๑๑. หล่อเครื่องปูนั่งที่เจือด้วยไหม

๑๒. หล่อเครื่องปูนั่งด้วยขนเจียม (ขนแพะ แกะ) ดำล้วน

๑๓. ใช้ขนเจียมดำเกิน ๒ ส่วนใน ๔ ส่วน หล่อเครื่องปูนั่ง

๑๔. หล่อเครื่องปูนั่งใหม่ เมื่อของเดิมยังใช้ไม่ถึง ๖ ปี

๑๕. เมื่อหล่อเครื่องปูนั่งใหม่ ให้เอาของเก่าเจือปนลงไปด้วย

๑๖. นำขนเจียมไปด้วยตนเองเกิน ๓ โยชน์ เว้นแต่มีผู้นำไปให้

๑๗. ใช้ภิกษุณีที่ไม่ใช้ญาติทำความสะอาดขนเจียม

๑๘. รับเงินทอง (ห้ามจับปัจจัย)

๑๙. ซื้อขายด้วยเงินทอง

๒๐. ซื้อขายโดยใช้ของแลก

๒๑. เก็บบาตรที่มีใช้เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน

๒๒. ขอบาตร เมื่อบาตรเป็นแผลไม่เกิน ๕ แห่ง

๒๓. เก็บเภสัช ๕ (เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย) ไว้เกิน ๗ วัน

๒๔. แสวงและทำผ้าอาบน้ำฝนไว้เกินกำหนด ๑ เดือนก่อนหน้าฝน

๒๕. ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วชิงคืนในภายหลัง

๒๖. ขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร

๒๗. กำหนดให้ช่างทอทำให้ดีขึ้น

๒๘. เก็บผ้าจำนำพรรษา (ผ้าที่ถวายภิกษุเพื่ออยู่พรรษา) เกินกำหนด

๒๙. อยู่ป่าแล้วเก็บจีวรไว้ในบ้านเกิน ๖ คืน 

๓๐. น้อมลาภสงฆ์มาเพื่อให้เขาถวายตน 

 

ปาจิตตีย์ ๙๒ ข้อ

๑. ห้ามพูดปด

๒. ห้ามด่า

๓. ห้ามพูดส่อเสียด

๔. ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกับผู้ไม่ได้บวชในขณะสอน

๕. ห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช้ภิกษุ)เกิน ๓ คืน

๖. ห้ามนอนร่วมกับผู้หญิง

๗. ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิง

๘. ห้ามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่ผู้มิได้บวช

๙. ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่ผู้มิได้บวช

๑๐. ห้ามขุดดินหรือใช้ให้ขุด

๑๑. ห้ามทำลายต้นไม้

๑๒. ห้ามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน

๑๓. ห้ามติเตียนภิกษุผู้ทำการสงฆ์โดยชอบ

๑๔. ห้ามทิ้งเตียงตั่งของสงฆ์ไว้กลางแจ้ง

๑๕. ห้ามปล่อยที่นอนไว้ ไม่เก็บงำ

๑๖. ห้ามนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อน

๑๗. ห้ามฉุดคร่าภิกษุออกจากวิหารของสงฆ์

๑๘. ห้ามนั่งนอนทับเตียงหรือตั่งที่อยู่ชั้นบน

๑๙. ห้ามพอกหลังคาวิหารเกิน ๓ ชั้น

๒๐. ห้ามเอาน้ำมีสัตว์รดหญ้าหรือดิน

๒๑. ห้ามสอนนางภิกษุณีเมื่อมิได้รับมอบหมาย

๒๒. ห้ามสอนนางภิกษุณีตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้ว

๒๓. ห้ามไปสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่

๒๔. ห้ามติเตียนภิกษุอื่นว่าสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ

๒๕. ห้ามให้จีวรแก่นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ

๒๖. ห้ามเย็บจีวรให้นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ

๒๗. ห้ามเดินทางไกลร่วมกับนางภิกษุณี

๒๘. ห้ามชวนนางภิกษุณีเดินทางเรือร่วมกัน

๒๙. ห้ามฉันอาหารที่นางภิกษุณีไปแนะให้เขาถวาย

๓๐. ห้ามนั่งในที่ลับสองต่อสองกับภิกษุณี

๓๑. ห้ามฉันอาหารในโรงพักเดินทางเกิน ๓ มื้อ

๓๒. ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม

๓๓. ห้ามรับนิมนต์แล้วไปฉันอาหารที่อื่น

๓๔. ห้ามรับบิณฑบาตเกิน ๓ บาตร

๓๕. ห้ามฉันอีกเมื่อฉันในที่นิมนต์เสร็จแล้ว

๓๖. ห้ามพูดให้ภิกษุที่ฉันแล้วฉันอีกเพื่อจับผิด

๓๗. ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล

๓๘. ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน

๓๙. ห้ามขออาหารประณีตมาเพื่อฉันเอง

๔๐. ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน

๔๑. ห้ามยื่นอาหารด้วยมือให้ชีเปลือยและนักบวชอื่นๆ

๔๒. ห้ามชวนภิกษุไปบิณฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ

๔๓. ห้ามเข้าไปแทรกแซงในสกุลที่มีคน ๒ คน

๔๔. ห้ามนั่งในที่ลับมีที่กำบังกับมาตุคาม (ผู้หญิง)

๔๕. ห้ามนั่งในที่ลับ (หู) สองต่อสองกับมาตุคาม

๔๖. ห้ามรับนิมนต์แล้วไปที่อื่นไม่บอกลา

๔๗. ห้ามขอของเกินกำหนดเวลาที่เขาอนุญาตไว้

๔๘. ห้ามไปดูกองทัพที่ยกไป

๔๙. ห้ามพักอยู่ในกองทัพเกิน ๓ คืน

๕๐. ห้ามดูเขารบกันเป็นต้น เมื่อไปในกองทัพ

๕๑. ห้ามดื่มสุราเมรัย

๕๒. ห้ามจี้ภิกษุ

๕๓. ห้ามว่ายน้ำเล่น

๕๔. ห้ามแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย

๕๕. ห้ามหลอกภิกษุให้กลัว

๕๖. ห้ามติดไฟเพื่อผิง

๕๗. ห้ามอาบน้ำบ่อยๆ เว้นแต่มีเหตุ

๕๘. ให้ทำเครื่องหมายเครื่องนุ่งห่ม

๕๙. วิกัปจีวรไว้แล้ว (ทำให้เป็นสองเจ้าของ-ให้ยืมใช้) จะใช้ต้องถอนก่อน

๖๐. ห้ามเล่นซ่อนบริขารของภิกษุอื่น

๖๑. ห้ามฆ่าสัตว์

๖๒. ห้ามใช้น้ำมีตัวสัตว์

๖๓. ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์ (คดีความ-ข้อโต้เถียง) ที่ชำระเป็นธรรมแล้ว

๖๔. ห้ามปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น

๖๕. ห้ามบวชบุคคลอายุไม่ถึง ๒๐ ปี

๖๖. ห้ามชวนพ่อค้าผู้หนีภาษีเดินทางร่วมกัน

๖๗. ห้ามชวนผู้หญิงเดินทางร่วมกัน

๖๘. ห้ามกล่าวตู่พระธรรมวินัย (ภิกษุอื่นห้ามและสวดประกาศเกิน ๓ ครั้ง)

๖๙. ห้ามคบภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย

๗๐. ห้ามคบสามเณรผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย

๗๑. ห้ามพูดไถลเมื่อทำผิดแล้ว

๗๒. ห้ามกล่าวติเตียนสิกขาบท

๗๓. ห้ามพูดแก้ตัวว่า เพิ่งรู้ว่ามีในปาฏิโมกข์

๗๔. ห้ามทำร้ายร่างกายภิกษุ

๗๕. ห้ามเงื้อมือจะทำร้ายภิกษุ

๗๖. ห้ามโจทภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสที่ไม่มีมูล

๗๗. ห้ามก่อความรำคาญแก่ภิกษุอื่น

๗๘. ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน

๗๙. ให้ฉันทะแล้วห้ามพูดติเตียน

๘๐. ขณะกำลังประชุมสงฆ์ ห้ามลุกไปโดยไม่ให้ฉันทะ

๘๑. ร่วมกับสงฆ์ให้จีวรแก่ภิกษุแล้ว ห้ามติเตียนภายหลัง

๘๒. ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อบุคคล

๘๓. ห้ามเข้าไปในตำหนักของพระราชา

๘๔. ห้ามเก็บของมีค่าที่ตกอยู่

๘๕. เมื่อจะเข้าบ้านในเวลาวิกาล ต้องบอกลาภิกษุก่อน

๘๖. ห้ามทำกล่องเข็มด้วยกระดูก งา หรือเขาสัตว์

๘๗. ห้ามทำเตียง ตั่งมีเท้าสูงกว่าประมาณ

๘๘. ห้ามทำเตียง ตั่งที่หุ้มด้วยนุ่น

๘๙. ห้ามทำผ้าปูนั่งมีขนาดเกินประมาณ

๙๐. ห้ามทำผ้าปิดฝีมีขนาดเกินประมาณ

๙๑. ห้ามทำผ้าอาบน้ำฝนมีขนาดเกินประมาณ

๙๒. ห้ามทำจีวรมีขนาดเกินประมาณ

ปาฏิเทสนียะ ๔ ข้อ

๑. ห้ามรับของคบเคี้ยว ของฉันจากมือภิกษุณีมาฉัน

๒. ให้ไล่นางภิกษุณีที่มายุ่งให้เขาถวายอาหาร

๓. ห้ามรับอาหารในสกุลที่สงฆ์สมมุติว่าเป็นเสขะ (อริยบุคคล แต่ยังไม่ได้บรรลุเป็นอรหันต์)

๔. ห้ามรับอาหารที่เขาไม่ได้จัดเตรียมไว้ก่อนมาฉันเมื่ออยู่ป่า 

เสขิยะ - สารูป ๒๖ ข้อ

๑. นุ่งให้เป็นปริมณฑล (ล่างปิดเข่า บนปิดสะดือไม่ห้อยหน้าห้อยหลัง)

๒. ห่มให้เป็นนปริมณฑล (ให้ชายผ้าเสมอกัน)

๓. ปกปิดกายด้วยดีไปในบ้าน

๔. ปกปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน

๕. สำรวมด้วยดีไปในบ้าน

๖. สำรวมด้วยดีนั่งในบ้าน

๗. มีสายตาทอดลงไปในบ้าน (ตาไม่มองโน่นมองนี่)

๘. มีสายตาทอดลงนั่งในบ้าน

๙. ไม่เวิกผ้าไปในบ้าน

๑๐. ไม่เวิกผ้านั่งในบ้าน

๑๑. ไม่หัวเราะดังไปในบ้าน

๑๒. ไม่หัวเราะดังนั่งในบ้าน

๑๓. ไม่พูดเสียงดังไปในบ้าน

๑๔. ไม่พูดเสียงดังนั่งในบ้าน

๑๕. ไม่โคลงกายไปในบ้าน

๑๖. ไม่โคลงกายนั่งในบ้าน

๑๗. ไม่ไกวแขนไปในบ้าน

๑๘. ไม่ไกวแขนนั่งในบ้าน

๑๙. ไม่สั่นศีรษะไปในบ้าน

๒๐. ไม่สั่นศีรษะนั่งในบ้าน

๒๑. ไม่เอามือค้ำกายไปในบ้าน

๒๒. ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน

๒๓. ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะไปในบ้าน

๒๔. ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งในบ้าน

๒๕. ไม่เดินกระโหย่งเท้า ไปในบ้าน

๒๖. ไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน 

เสขิยะ - โภชนปฏิสังยุตต์ ๓๐ ข้อ

๑. รับบิณฑบาตด้วยความเคารพ

๒. ในขณะบิณฑบาต จะแลดูแต่ในบาตร

๓. รับบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง (ไม่รับแกงมากเกินไป)

๔. รับบิณฑบาตแค่พอเสมอขอบปากบาตร

๕. ฉันบิณฑบาตโดยความเคารพ

๖. ในขณะฉันบิณฑบาต และดูแต่ในบาตร

๗. ฉันบิณฑบาตไปตามลำดับ (ไม่ขุดให้แหว่ง)

๘. ฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง ไม่ฉันแกงมากเกินไป

๙. ฉันบิณฑบาตไม่ขยุ้มแต่ยอดลงไป

๑๐. ไม่เอาข้าวสุกปิดแกงและกับด้วยหวังจะได้มาก

๑๑. ไม่ขอเอาแกงหรือข้าวสุกเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน หากไม่เจ็บไข้

๑๒. ไม่มองดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ

๑๓. ไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป

๑๔. ทำคำข้าวให้กลมกล่อม

๑๕. ไม่อ้าปากเมื่อคำข้าวยังมาไม่ถึง

๑๖. ไม่เอามือทั้งมือใส่ปากในขณะฉัน

๑๗. ไม่พูดในขณะที่มีคำข้าวอยู่ในปาก

๑๘. ไม่ฉันโดยการโยนคำข้าวเข้าปาก

๑๙. ไม่ฉันกัดคำข้าว

๒๐. ไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย

๒๑. ไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง

๒๒. ไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว

๒๓. ไม่ฉันแลบลิ้น

๒๔. ไม่ฉันดังจับๆ

๒๕. ไม่ฉันดังซูดๆ

๒๖. ไม่ฉันเลียมือ

๒๗. ไม่ฉันเลียบาตร

๒๘. ไม่ฉันเลียริมฝีปาก

๒๙. ไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ

๓๐. ไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน 

เสขิยะ - ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ ๑๖ ข้อ

๑. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ

๒. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ

๓. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีของมีคมในมือ

๔. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธในมือ

๕. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท่า (รองเท้าไม้)

๖. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า

๗. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน

๘. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน

๙. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า

๑๐. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่โพกศีรษะ

๑๑. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่คลุมศีรษะ

๑๒. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนอาสนะ (หรือเครื่องปูนั่ง) โดยภิกษุอยู่บนแผ่นดิน

๑๓. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งบนอาสนะสูงกว่าภิกษุ

๑๔. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ แต่ภิกษุยืน

๑๕. ภิกษุเดินไปข้างหลังไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า

๑๖. ภิกษุเดินไปนอกทางไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง 

เสขิยะ - ปกิณสถะ ๓ ข้อ

๑. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ

๒. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในของเขียว (พันธุ์ไม้ใบหญ้าต่างๆ)

๓. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในน้ำ 

เสขิยะ -อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อ

๑. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ในที่พร้อมหน้า (บุคคล วัตถุ ธรรม)

๒. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการยกให้ว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีสติ

๓. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยยกประโยชน์ให้ในขณะเป็นบ้า

๔. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือตามคำรับของจำเลย

๕. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ

๖. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยการลงโทษแก่ผู้ผิด

๗. ระงับอธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกันไม่ได้) ด้วยให้ประนีประนอมหรือเลิกแล้วกันไป 

พระโอวาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การเป็นอยู่ที่ไม่เสื่อม

“ภิกษุ ท.! ภิกษุทั้งหลาย จักหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ ประชุมกันให้มากพอ อยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไม่มีความเสื่อมเลย อยู่เพียงนั้น.

 

ภิกษุ ท.! ภิกษุทั้งหลาย จักพร้อมเพรียงกันเข้าประชุมกัน จักพร้อมเพรียงกันเลิกประชุม จักพร้อมเพรียงกันทำกิจที่สงฆ์จะต้องทำ อยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไม่มีความเสื่อมเลย อยู่เพียงนั้น.

 

ภิกษุ ท.! ภิกษุทั้งหลาย จักไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่เคยบัญญัติ จักไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว จักไม่สมาทานศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้วอย่างเคร่งครัด อยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไม่มีความเสื่อมเลย อยู่เพียงนั้น.

 

ภิกษุ ท.! ภิกษุทั้งหลาย จักสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ภิกษุ พวกที่เป็นเถระ มีพรรษายุกาล บวชนาน เป็นบิดาสงฆ์ เป็นผู้นำสงฆ์ และตนจักต้องเข้าใจตัวว่าต้องเชื่อฟังถ้อยคำของท่านเหล่านั้น อยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไม่มีความเสื่อมเลย อยู่เพียงนั้น.

 

ภิกษุ ท.! ภิกษุทั้งหลาย จักไม่ลุอำนาจแก่ตัณหา ซึ่งเป็นตัวเหตุก่อให้เกิดภพใหม่ ที่เกิดขึ้นแล้ว อยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไม่มีความเสื่อมเลย อยู่เพียงนั้น.

 

ภิกษุ ท.! ภิกษุทั้งหลาย จักมีใจจดจ่อในเสนาสนะป่า อยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไม่มีความเสื่อมเลย อยู่เพียงนั้น.

 

ภิกษุ ท.! ภิกษุทั้งหลาย จักเข้าไปตั้งสติไว้อย่างมั่นเหมาะว่า “ทำไฉนหนอ ขอเพื่อนผู้ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยกัน ซึ่งมีศีลเป็นที่รัก ยังไม่มาขอให้มา ที่มาแล้ว ขอให้อยู่เป็นสุขเถิด” ดังนี้ อยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไม่มีความเสื่อมเลย อยู่เพียงนั้น.

 

ภิกษุ ท.! ธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อมเจ็ดประการเหล่านี้ ยังคงดำรงอยู่ได้ในภิกษุทั้งหลาย และพวกเธอก็ยังเห็นพ้องต้องกันในธรรมเจ็ดประการเหล่านี้ อยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไม่มีความเสื่อมเลย อยู่เพียงนั้น”

โย จ วสฺสสตํ ชีเว ทุสฺสีโล อสมาหิโต เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย สีลวนฺตสฺส ฌายิโน

ผู้ไม่มีศีล ไม่มั่นคง ถึงจะเป็นอยู่ตั้งร้อยปี

ส่วนผู้มีศีล เพ่งพินิจ มีชีวิตอยู่วันเดียวประเสริฐกว่า


หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว วะยะธัมมา สังขารา อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันว่าสังขารทั้งหลาย ย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา

ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตน

และประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด