คำขานนาค คำขอบวช
วิธีบรรพชาอุปสมบท แบบเอสาหัง (ธรรมยุตนิกาย)
(การท่อง ให้ท่องเฉพาะตัวหนาและให้ออกเสียงอักษร ท เป็น ด, พ เป็น บ, ค เป็น กง, ช เป็น จย ทุกคำ / เภย อ่านว่า เภ ย สะกด ไม่ใช่ เภอ ย สะกด)
เอสาหัง ภันเต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ, ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ,
ละเภยยาหัง ภันเต, ตัสสะ ภะคะวะโต ธัมมะวินะเย ปัพพัชชัง, ละเภยยัง อุปะสัมปะทังฯ
ทุติยัมปาหัง ภันเต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ, ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ,
ละเภยยาหัง ภันเต, ตัสสะ ภะคะวะโต ธัมมะวินะเย ปัพพัชชัง, ละเภยยัง อุปะสัมปะทังฯ
ตะติยัมปาหัง ภันเต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ, ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ,
ละเภยยาหัง ภันเต, ตัสสะ ภะคะวะโต ธัมมะวินะเย ปัพพัชชัง, ละเภยยัง อุปะสัมปะทังฯ
(ถ้าบวชเป็นสามเณร ตัดคำว่า ละเภยยัง อุปะสัมปะทัง ออกเสีย)
อะหัง ภันเต, ปัพพัชชัง ยาจามิ, อิมานิ กาสายานิ วัตถานิ คะเหต์วา, ปัพพาเชถะมัง ภันเต, อะนุกัมปัง อุปาทายะฯ
ทุติยัมปิ อะหัง ภันเต, ปัพพัชชัง ยาจามิ, อิมานิ กาสายานิ วัตถานิ คะเหต์วา, ปัพพาเชถะมัง ภันเต, อะนุกัมปัง อุปาทายะฯ
ตะติยัมปิ อะหัง ภันเต, ปัพพัชชัง ยาจามิ, อิมานิ กาสายานิ วัตถานิ คะเหต์วา, ปัพพาเชถะมัง ภันเต, อะนุกัมปัง อุปาทายะฯ
ในลำดับนั้น พระอุปัชฌายะ รับเอาผ้าไตรจากผู้มุ่งบรรพชาไว้ตรงหน้าแล้ว กล่าวสอนถึงคุณพระรัตนตรัย เป็นต้น บอก ตะจะปัญจะกะกัมมัฏฐาน ให้ว่าตามไปทีละบท โดยอนุโลมปฏิโลม ดังนี้
เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ (อนุโลม)
ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา (ปฏิโลม)
ครั้นสอนแล้ว พระอุปัชฌายะชักผ้าอังสะออกจากไตรจีวรสวมให้แล้ว ผู้มุ่งบรรพชายื่นแขนขวาเข้าสอดรับข้ามศีรษะ เพื่อสวมผ้าอังสะเฉวียงบ่า สั่งให้ออกไปครองไตรจีวรตามระเบียบ ครั้นเสร็จแล้ว รับเครื่องสักการะจาก บิดา-มารดา หรือเจ้าภาพถวายพระอุปัชฌายะ กราบ ๓ ครั้ง ประนมมือเปล่งวาจาขอสรณะและศีล ดังนี้
อะหัง ภันเต, สะระณะสีลัง ยาจามิฯ
ทุติยัมปิ อะหัง ภันเต, สะระณะสีลัง ยาจามิฯ
ตะติยัมปิ อะหัง ภันเต, สะระณะสีลัง ยาจามิฯ
ลำดับนั้น พระอาจารย์กล่าวคำนมัสการนำ ให้ผู้มุ่งบรรพชา ว่าตามไป ดังนี้
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (ว่า ๓ ครั้ง)
ต่อจากนั้น ท่านจะกล่าวสั่งด้วยคำว่า เอวัง วะเทหิ หรือ ยะมะหัง วะทามิ ตัง วะเทหิ ผู้มุ่งบรรพชาพึงรับว่า อามะ ภันเต
ครั้นแล้ว ท่านนำ ให้เปล่งวาจาว่าสรณคมน์ตามไปที่ละตอน ดังนี้
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
เมื่อจบแล้ว ท่านบอกว่า ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง พึงรับว่า อามะ ภันเต ลำดับนั้น
พระอุปัชฌายะ กล่าวสิกขาบทนำ ดังนี้
ปาณาติปาตา เวระมะณี
อะทินนาทานา เวระมะณี
อะพรัหมะจะริยา เวระมะณี
มุสาวาทา เวระมะณี
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี
วิกาละโภชะนา เวระมะณี
นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนา เวระมะณี
มาลาคันธะวิเลปะนะ ธาระณะ มัณฑะนะ วิภูสะนัฏฐานาเวระมะณี
อุจจาสะยะนะ มะหาสะยะนา เวระมะณี
ชาตะรูปะระชะตะปะฏิคคะหะณา เวระมะณี
อิมานิ ทะสะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ (ว่า ๓ ครั้ง)
บัดนี้ผู้บวชได้เป็นสามเณรแล้ว ในลำดับนั้น สามเณรพึงรับบาตรและเครื่องสักการะ อุ้มเข้าไปหาพระอุปัชฌายะ ในท่ามกลางสงฆ์ วางบาตรไว้ด้านขวา นำเครื่องสักการะถวายท่าน กราบ ๓ ครั้ง นั่งคุกเข่าประนมมือกล่าวคำขอนิสัย ดังนี้
อะหัง ภันเต, นิสสะยัง ยาจามิ
ทุติยัมปิ อะหัง ภันเต, นิสสะยัง ยาจามิ
ตะติยัมปิ อะหัง ภันเต, นิสสะยัง ยาจามิ
อุปัชฌาโย เม ภันเต โหหิ (ว่า ๓ ครั้ง)
พระอุปัชฌายะ จะกล่าวคำว่า โอปายิกัง, ปะฏิรูปัง, ปาสาทิเกนะ สัมปาเทหิ เรียงทีละบท พึงรับว่า สาธุ ภันเต ทุกบทไป แต่นั้น สามเณร พึงกล่าวรับเป็นธุระให้ท่าน ดังนี้
อัชชะตัคเคทานิ เถโร, มัยหัง ภาโร, อะหัมปิ เถรัสสะ ภาโร (ว่า ๓ ครั้ง)
ลำดับนั้น พระอุปัชฌายะ แนะนำสามเณรไปตามระเบียบแล้ว พระอาจารย์ผู้เป็นกรรมวาจา นำบาตรสวมตัวผู้มุ่งอุปสมบท บอกบริขาร ผู้มุ่งอุปสมบทพึงรับว่า อามะ ภันเต ๔ ครั้ง ดังนี้
คำบอกบริขาร คำรับ
อะยันเต ปัตโต อามะ ภันเต
อะยัง สังฆาฏิ อามะ ภันเต
อะยัง อุตตะราสังโค อามะ ภันเต
อะยัง อันตะระวาสะโก อามะ ภันเต
ต่อจากนั้น พระอาจารย์ ท่านบอกให้ออกไปข้างนอก ว่า คัจฉะ อะมุมหิ โอกาเส ติฏฐาหิ พึงถอยหันหลังกลับประนมมือไปยืนอยู่ในที่กำหนดไว้ พระอาจารย์ท่านสวดสมมุติตนเป็นผู้สอนซ้อม ลุกขึ้นเดินไปสวดถาม อันตรายิกธรรม
พึงรับว่า นัตถิ ภันเต ๕ ครั้ง และ อามะ ภันเต ๘ ครั้ง ดังนี้
คำถาม คำตอบ
กุฏฐัง นัตถิ ภันเต
คัณโฑ นัตถิ ภันเต
กิลาโส นัตถิ ภันเต
โสโส นัตถิ ภันเต
อัปปะมาโร นัตถิ ภันเต
มะนุสโสสิ๊ อามะ ภันเต
ปุริโสสิ๊ อามะ ภันเต
ภุชิสโสสิ๊ อามะ ภันเต
อะนะโณสิ๊ อามะ ภันเต
นะสิ๊ ราชะภะโฏ อามะ ภันเต
อะนุญญาโตสิ๊ มาตาปิตูหิ อามะ ภันเต
ปะริปุณณะวีสะติวัสโสสิ๊ อามะ ภันเต
ปะริปุณณันเต ปัตตะจีวะรัง อามะ ภันเต
กินนาโมสิ๊ อะหัง ภันเต …(๑)…นามะ
โก นามะ เต อุปัชฌาโย อุปัชฌาโย เม ภันเต, อายัส์มา…(๒)…นามะ
(ช่องที่เว้นไว้…(๑)…ให้ระบุ ฉายา ผู้อุปสมบท และช่อง…(๒)…ให้ระบุ ฉายาพระอุปัฌชายะ)
ครั้นสอนซ้อมเสร็จแล้ว ท่านกลับเข้ามาสวด เรียกผู้มุ่งจะอุปสมบทเข้ามา พึงเข้ามาในท่ามกลางสงฆ์ กราบลงตรงหน้าพระอุปัชฌายะ ๓ ครั้ง เสร็จแล้วนั่งคุกเข่าประนมมือเปล่งวาจาขออุปสมบท ดังนี้
สังฆัมภันเต, อุปะสัมปะทัง ยาจามะ, อุลลุมปะตุ โน ภันเต, สังโฆ อะนุกัมปัง อุปาทายะ
ทุติยัมปิ ภันเต, สังฆัง อุปะสัมปะทัง ยาจามะ, อุลลุมปะตุ โน ภันเต, สังโฆ อะนุกัมปัง อุปาทายะ
ตะติยัมปิ ภันเต, สังฆัง อุปะสัมปะทัง ยาจามะ, อุลลุมปะตุ โน ภันเต, สังโฆ อะนุกัมปัง อุปาทายะ
(ถ้าขออุปสมบทรูปเดียว ให้เปลี่ยน ยาจามะ เป็น ยาจามิ และเปลี่ยน โน เป็น มัง)
ในลำดับนั้น พระอุปัชฌายะกล่าวเผเดียงสงฆ์แล้ว และพระอาจารย์สวดสมมติตนถามอันตรายิกธรรม ผู้มุ่งอุปสมบท พึงรับว่า นัตถิ ภันเต ๕ ครั้ง และ อามะ ภันเต ๘ ครั้ง ตอบฉายาตนแล้ว บอกฉายาพระอุปัชฌายะ (เหมือนนัยก่อน) แต่นั้น พึงนั่งฟังท่านสวดกรรมวาจาอุปสมบทไปจนจบ ครั้นจบแล้ว ท่านยกบาตรออกจากตัวเป็นอันเสร็จพิธีบรรพชาอุปสมบท แล้ว กราบลง ๓ ครั้ง
ถ้ามีเครื่องไทยธรรม ก็ให้รับเครื่องไทยธรรม ถวายพระอุปัชฌายะ พระคู่สวด และพระนั่งหัตบาส เมื่อประธานสงฆ์ กล่าวบทว่า ยะถา วาริวะหา ฯลฯ พึงตั้งใจอุทิศส่วนบุญกุศลตามเจตนา เป็นอันเสร็จพิธี
***จบพิธีบรรพชา-อุปสมบท***
สามารถฝึกซ้อมท่องคำขานนาค ได้ที่วีดีโอนี้
แปลความหมายคำขานนาค
กุลบุตรผู้มีศรัทธามุ่งอุปสมบท พึงรับผ้าไตรอุ้มประนมมือเข้าไปในสังฆสันนิบาตวางผ้าไตรไว้ข้างตัวด้านซ้าย รับเครื่องสักการะถวายพระอุปัชฌายะ แล้วกราบลงด้วยเบญจางคประดิษฐ์ 3 ครั้งแล้วนั่งคุกเข่าอุ้มผ้าไตรประนมมือเปล่งวาจา ถึงสรณะและขอบรรพชาด้วยคำมคธ หยุดตามจุดจุลภาคว่า
เอสาหัง ภันเต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ, ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ, ละเภยยาหัง ภันเต, ตัสสะ ภะคะวะโต, ธัมมะวินะเย ปัพพัชชัง, ละเภยยัง อุปะสัมปะทัง
(ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น แม้เสด็จปรินิพพานนานแล้ว พระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้า พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบท ในพระธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น)
ทุติยัมปาหัง ภันเต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ, ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ, ละเภยยาหัง ภัณเต, ตัสสะ ภะคะวะโต, ธัมมะวินะเย ปัพพัชชัง, ละเภยยัง อุปะสัมปะทัง
(ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น แม้เสด็จปรินิพพานนานแล้ว พระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้า พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบท ในพระธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น แม้ครั้งที่สอง)
ตะติยัมปาหัง ภันเต, สุจิระปะรินิพพุตัมปิ, ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ, ละเภยยาหัง ภัณเต, ตัสสะ ภะคะวะโต, ธัมมะวินะเย ปัพพัชชัง, ละเภยยัง อุปะสัมปะทัง
(ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น แม้เสด็จปรินิพพานนานแล้ว พระธรรมพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้า พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบท ในพระธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น แม้ครั้งที่สาม)
อะหัง ภัณเต, ปัพพัชชัง ยาจามิ, อิมานิ กาสายานิ วัตถานิ คะเหตะวา, ปัพพาเชถะ มัง ภัณเต, อะนุกัมปัง อุปาทายะ
(ท่านขอรับ กระผมขอบรรพชา ขอท่านโปรดอนุเคราะห์ ผ้ากาสาวะนี้ ให้กระผมบวชเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน เป็นเครื่องสลัดออกจากความทุกข์)
ทุติยัมปิ อะหัง ภัณเต, ปัพพัชชัง ยาจามิ, อิมานิ กาสายานิ วัตถานิ คะเหตะวา, ปัพพาเชถะ มัง ภัณเต, อะนุกัมปัง อุปาทายะ
(ท่านขอรับ กระผมขอบรรพชา ขอท่านโปรดอนุเคราะห์ ผ้ากาสาวะนี้ ให้กระผมบวชเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน เป็นเครื่องสลัดออกจากความทุกข์ แม้ครั้งที่สอง)
ตะติยัมปิ อะหัง ภัณเต, ปัพพัชชัง ยาจามิ, อิมานิ กาสายานิ วัตถานิ คะเหตะวา, ปัพพาเชถะ มัง ภัณเต, อะนุกัมปัง อุปาทายะ
(ท่านขอรับ กระผมขอบรรพชา ขอท่านโปรดอนุเคราะห์ ผ้ากาสาวะนี้ ให้กระผมบวชเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน เป็นเครื่องสลัดออกจากความทุกข์ แม้ครั้งที่สาม) ถ้าบวชเป็นสามเณร ยกคำว่า ละเภยยัง อุปะสัมปะทัง ออกเสีย
ในลำดับนั้น พระอุปัชฌายะรับเอาผ้าไตรจากผู้มุ่งบรรพชาวางไว้ตรงหน้าตัก แล้วกล่าวสอนถึงพระรัตนตรัยเป็นต้น และบอก ตะจะปัญจะกะกัมมัฎฐาน ให้ว่าตามไปทีละบท โดยอนุโลมและปฏิโลม ดังนี้
เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ (อนุโลม) (ผม, ขน, เล็บ, ฟัน, หนัง (ตามลำดับ))
ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา (ปฏิโลม) (หนัง, ฟัน, เล็บ, ขน, ผม (ทวนลำดับ))
ครั้นสอนแล้วพระอุปัชฌายะชักอังสะออกจากไตร สวมให้แล้ว สั่งให้ออกไปครองไตรจีวรตามระเบียบ ครั้นเสร็จแล้วเข้าไปหาพระอาจารย์ รับเครื่องสักการะถวายท่านแล้วกราบ 3 หน นั่งคุกเข่า ประนมมือเปล่งวาจาขอสรณะและศีลดังนี้
อะหัง ภัณเต, สะระณะสีลัง ยาจามิ (กระผมขอสรณคมน์ และศีล ขอรับ)
ทุติยัมปิ อะหัง ภัณเต, สะระณะสีลัง ยาจามิ (กระผมขอสรณคมน์ และศีล แม้ครั้งที่สอง ขอรับ)
ตะติยัมปิ อะหัง ภัณเต, สะระณะสีลัง ยาจามิ (กระผมขอสรณคมน์ และศีล แม้ครั้งที่สาม ขอรับ)
ลำดับนั้น พระอาจารย์กล่าวคำนมัสการนำให้ผู้มุ่งบรรพชา ว่าตามไปดังนี้
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
(ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง)
ว่า 3 หน (พระสวดนำ 3 ครั้ง เราค่อยสวดตาม 3 ครั้ง)
แต่นั้นท่านจะสั่งด้วยคำว่า เอวัง วะเทหิ หรือ ยะมะหัง วะทามิ ตัง วะเทหิ (เธอจงกล่าวตามเรา)
พึงรับว่า อามะ ภัณเต (ขอรับ กระผม)
ครั้นแล้วท่านนำให้เปล่งวาจาว่าสรณคมน์ตามไปทีละพากย์ดังนี้
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ (กระผม ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง)
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ (กระผม ขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง)
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ (กระผม ขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง)
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ (กระผม ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่สอง)
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ (กระผม ขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่สอง)
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ (กระผม ขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่สอง)
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ (กระผม ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่สาม)
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ (กระผม ขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่สาม)
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ (กระผม ขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แม้ครั้งที่สาม)
เมื่อจบแล้ว ท่านบอกว่า ติสะระณะคะมะนัง นิฎฐิตัง (ไตรสรณคมน์ จบแล้ว) พึงรับว่า อามะ ภัณเต (ขอรับ กระผม)
ลำดับนั้นพระอาจารย์จะบอกให้รู้ว่า การบรรพชาเป็นสามเณรสำเร็จด้วยสรณคมณ์เพียงเท่านี้
ลำดับนั้นถึงสมาทานสิกขาบท 10 ประการว่าตามท่านไปดังนี้
ปาณาติปาตา เวระมะณี (งดเว้นจากการ ฆ่าสัตว์)
อะทินนาทานา เวระมะณี (งดเว้นจากการ ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้)
อะพรัมมะจะริยา เวระมะณี (งดเว้นจากการ ประพฤติ ไม่ประเสริฐ (เสพเมถุน))
มุสาวาทา เวระมะณี (งดเว้นจากการ พูดเท็จ)
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฎฐานา เวระมะณี (งดเว้นจากการ ดื่มน้ำเมาคือสุรา และเมรัย เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท)
วิกาละโภชะนา เวระมะณี (งดเว้นจากการ บริโภคอาหาร ในยามวิกาล)
นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนา เวระมะณี (งดเว้นจากการ ฟ้อนรำขับร้องประโคมและดูการละเล่น)
มาลาคันธะวิเลปะนะธาระณะมัณฑะนะวิภูสะนัฎฐานา เวระมะณี (งดเว้นจากการ ทัดทรงดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้)
อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมะณี (งดเว้นจากการนอนบนที่นอนสูงและที่นอนใหญ่)
ชะตะรูปะระชะตะปะฎิคคะหะณา เวระมะณี (งดเว้นจากการรับทอง และเงิน)
อิมานิ ทะสะ สิกขาปะทะนิ สะมาทิยามิฯ (ว่า 3 หน) (กระผมของสมาทานสิกขาบท 10)
ในลำดับนั้น สามเณรพึงรับบาตร อุ้มเข้าไปหาพระอุปัชฌายะในสังฆสันนิบาตวางไว้ ข้างตัวด้านซ้าย รับเครื่องสักการะถวายท่าน แล้วกราบ 3 หน นั่งคุกเข่าประนมมือกล่าวคำขอนิสัย ว่าดังนี้
อะหัง ภันเต, นิสสะยัง ยาจามิ (กระผม ขอนิสสัย ขอรับ)
ทุติยัมปิ อะหัง ภันเต, นิสสะยัง ยาจามิ (กระผม ขอนิสสัย แม้ครั้งที่สอง ขอรับ)
ตะติยัมปิ อะหัง ภัณเต, นิสสะยัง ยาจามิ (กระผม ขอนิสสัย แม้ครั้งที่สาม ขอรับ)
อุปัชฌาโย เม ภันเต , โหหิ (ขอท่านเป็นอุปัชฌาย์ ของกระผมเถิด ขอรับ) ว่า 3 หน
พระอุปัชฌายะกล่าวว่า โอปายิกัง (ชอบแก่อุบาย), ปะฎิรูปัง (สมควร), ปาสาทิเกนะ สัมปาเทหิ (จงยังความปฏิบัติให้ถึงพร้อมด้วยอาการอันความเสื่อมใส) บทใดบทหนึ่ง พึงรับว่า สาธุ ภันเต (ดีล่ะ ขอรับ) ทุกบทไป
แต่นั้นสามเณรพึงกล่าวรับเป็นธุระให้ท่าน ว่าดังนี้
อัชชะตัคเคทานิ เถโร, มัยหัง ภาโร, อะหัมปิ เถรัสสะ ภาโร (ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พระเถระย่อมเป็นภาระของกระผม, แม้กระผมย่อมเป็นภาระของพระเถระ) ว่า 3 หน เสร็จแล้วกราบลง 3 หน
ลำดับนั้น พระอุปัชฌายะแนะนำสามเณรไปตามระเบียบแล้ว พระอาจารย์ผู้เป็นกรรมวาจา เอาบาตรมีสายคล้องตัวผู้มุ่งอุปสมบท บอกบาตรและจีวร ผู้มุ่งอุปสมบทพึงรับว่า อามะ ภัณเต 4 หนดังนี้
1. อะยันเต ปัตโต (นี้บาตรของเธอ) อามะ ภันเต (ขอรับ กระผม)
2. อะยัง สังฆาฎิ (นี้ผ้าสังฆาฎิ) อามะ ภันเต (ขอรับ กระผม)
3. อะยัง อุตตะราสังโค (นี้ผ้าอุตตราสงค์) อามะ ภันเต (ขอรับ กระผม)
4. อะยัง อันตะระวาสะโก (นี้ผ้าอันตรวาสก) อามะ ภันเต (ขอรับ กระผม)
ต่อจากนั้นพระอาจารย์ท่านบอกให้ออกไปข้างนอกว่า คัจฉะ อะมุมหิ โอกาเส ติฎฐาหิ พึงถอยออกลุก
ขึ้นเดินไปยืนอยู่ในที่กำหนดไว้ พระอาจารย์ท่านสวดสมมติตนเป็นผู้สอนซ้อม แล้วออกไปสวดถาม อันตรายิกธรรม พึงรับว่า นัตถิ ภัณเต 5 หน อามะ ภันเต 8 หนดังนี้
1. กุฎฐัง (โรคเรื้อน) นัตถิ ภันเต (ไม่เป็น ขอรับ)
2. คัณโฑ (โรคฝี) นัตถิ ภันเต (ไม่เป็น ขอรับ)
3. กิลาโส (โรคกลาก) นัตถิ ภันเต (ไม่เป็น ขอรับ)
4. โสโส (โรคหืด) นัตถิ ภันเต (ไม่เป็น ขอรับ)
5. อะปะมาโร (โรคลมบ้าหมู) นัตถิ ภันเต (ไม่เป็น ขอรับ)
1. มะนุสโสสิ๊ (เธอเป็นมนุษย์หรือ) อามะ ภันเต (ใช่ ขอรับ)
2. ปุริโสสิ๊ (เธอเป็นชายหรือไม่) อามะ ภันเต (ใช่ ขอรับ)
3. ภุชิสโสสิ (เธอเป็นไทมิใช่ทาสหรือ) อามะ ภันเต (ใช่ ขอรับ)
4. อะนะโณสิ๊ (เธอไม่มีหนี้หรือ) อามะ ภันเต (ใช่ ขอรับ)
5. นะสิ๊ ราชะภะโฎ (เธอไม่ใช่ราฎักหรือ) อามะ ภันเต (ใช่ ขอรับ)
6. อะนุญญาโตสิ๊ มาตาปิตูหิ (บิดามารดาเธออนุญาติแล้วหรือ) อามะ ภันเต (ใช่ ขอรับ)
7. ปะริปุณณะวีสะติวัสโสสิ๊ (เธออายุครบยี่สิบปีแล้วหรือ) อามะ ภันเต (ใช่ ขอรับ)
8. ปะริปุณณันเต ปัตตะจีวะรัง (บาตรจีวรของเธอครบแล้วหรือ) อามะ ภันเต (ใช่ ขอรับ)
ครั้นสวดสอนซ้อมแล้ว ท่านกลับเข้ามาสวดขอเรียกอุปสัมปทาเปกขะเข้ามา อุปสัมปทาเปกขะ พึงเข้ามาในสังฆสันนิบาต กราบลงตรงหน้าพระอุปัชฌายะ 3 หน แล้วนั่งคุกเข่าประนมมือ เปล่งวาจาขออุปสมบทว่าดังนี้
สังฆัมภันเต, อุปะสัมปะทัง ยาจามิ, อุลลุมปะตุ มัง ภัณเต, สังโฆ อะนุกัมปัง อุปาทายะ
ทุติยัมปิ ภันเต, สังฆัง อุปะสัมปะทัง ยาจามิ, อุลลุมปะตุ มัง ภัณเต, สังโฆ อะนุกัมปัง อุปาทายะ
(กระผม ขอการอุปสมบทต่อสงฆ์ แม้ครั้งที่สอง ขอสงฆ์โปรดอนุเคราะห์ ยกกระผมขึ้นสู่ความเป็นภิกษุ ด้วยเถิดขอรับ)
ตะติยัมปิ ภัณเต, สังฆัง อุปะสัมปะทัง ยาจามิ, อุลลุมปะตุ มัง ภัณเต, สังโฆ อะนุกัมปัง อุปาทายะ
(กระผม ขอการอุปสมบทต่อสงฆ์ แม้ครั้งที่สาม ขอสงฆ์โปรดอนุเคราะห์ ยกกระผมขึ้นสู่ความเป็นภิกษุ ด้วยเถิดขอรับ)
ถ้าว่าพร้อมกันให้เปลี่ยน ยาจามิ เป็น ยาจามะ เปลี่ยน มัง เป็น โน
ในลำดับนั้น พระอุปัชฌายะกล่าวเผดียงสงฆ์แล้ว และพระอาจารย์สวดสมมติตนถามอันตรายิกธรรม อุปสัมปทาเปกขะ พึงรับว่า นัตถิ ภัณเต 5 หน อามะ ภันเต 8 หน ตอบชื่อตนและชื่ออุปัชฌายะรวม 2 หนโดยนัยหนหลัง แต่นั่นถึงนั่งฟังท่านสวดกรรมวาจาอุปสมบทไปจนจบ ครั้นจบแล้ว นั่งพับเพียบประนมมือฟังอุปัชฌายะบอกอนุศาสน์ไปจนจบแล้วรับว่า อามะ ภัณเต แล้วกราบ 3 หน